ในสังคมประชาธิปไตย บุคคลมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างกว้างขว้าง มีโอกาสพูดในสถานที่และโอกาสต่างๆอย่างหลากหลาย โดยมีวัตถุประสงค์ต่างออกไป อาจพูดแสวงหาความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการต่อหน้าผู้ฟัง เป็นจำนวนมากในกลุ่มหรือหรือในสถานที่ส่วนบุคคลหรือในที่สาธารณะ ผู้ฟังเหล่านั้นอาจเป็นบุคคลที่คุ้นเคยกับผู้พูดหรือผู้ที่ยังไม่รู้จักกันเลย อาจมีพื้นฐานความรู้ รสนิยม สภาพเศรษฐกิจทางสังคม ตลอดจนเจตคติต่อผู้พูดและหัวเรื่องที่คล้ายกันหรือแตกต่างกัน ปฏิกิริยาตอบสนองที่ผู้ฟังที่ผู้ฟังมีต่อผู้พูดจะเกิดขึ้น ทั้งในขณะที่กำลังฟังอยู่และเมื่อได้ฟังจบแล้ว ในขณะที่ผู้ฟังอยู่ปฏิกิริยาตอบสนองจะแสดงออกมาเป็นอวัจนภาษา ผู้พูดที่ดีจะต้องรู้จักสังเกตและตีความให้ได้ว่าผู้ฟังกำลังมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร การพูดตามที่กล่าวมานี้ เรียกว่าการพูดต่อประชุมชน (กระทรวงศึกษาธิการ. ๑๕๘ : ๒๕๕๔)
ประเภทของการพูดต่อประชุมชน
ข้อควรคำนึงที่สำคัญที่สุดในการพูดต่อประชุมชน คือ สารที่ผู้พูดส่งออกไปนั้นไม่จำกัดว่าจะรับฟังได้เฉพาะบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เช่น ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นความลับ เรื่องที่หยาบโลน เรื่องที่กล่าวพาดพิงถึงผู้อื่นในทางที่เสียหาย เรื่องล้อเลียนให้เป็นที่อับอาย
ประเภทของการพูดต่อประชุมชน
การพูดต่อประชุมชนอาจจำแนกได้หลายวี อาทิ ตามวิธีนำเสนอ ตามความมุ่งหมาย ตามเนื้อหาที่พูด ตามโอกาสที่พูด และตามรูปแบบ
กระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๕๔ : ๑๕๙ ได้แบ่งแบ่งตามวิธีนำเสนอ การพูดต่อประชุมชนอาจจำแนกได้ ๔ ประเภทคือ
๑. การพูดโดยฉับพลัน วิธีนี้ผู้พูดไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อน เมื่อทราบจากที่ประชุมว่าตนจำเป็นจะต้องพูด จึงเตรียมลำดับความคิด และวิธีนำเสนออย่างฉับพลัน เช่น การกล่าวอวยพรในงานมงคลสมรส งานวันเกิด การชี้แจ้งต่อที่ประชุมเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน
๒. การพูดโดยอาศัยต้นร่าง วิธีนี้ผู้พูดทราบล่วงหน้า มีเวลาเตรียมร่างที่จะพูดโดยศึกษาผู้ฟังและสถานการณ์แวดล้อมต่างๆไว้ก่อน และซักซ้อมพูดจนแม่นยำ รวมทั้งพูดเตรียมอุปกรณ์ เตรียมตัวอย่าง คำพังเพย สุภาษิตหรืออุทาหรณ์ ผู้พูดมักจะเตรียมเค้าโครงเรื่องด้วยความระมัดระวัง ทำให้เกิดความมั่นใจในการพูด เมื่อถึงเวลาพูดจริงผู้พูดยังอาจแปลงเนื้อหา ถ้อยคำ ลีลาให้เหมาะสมกับโอกาส สถานการณ์ และผู้ฟังได้อีกด้วย
๓. การพูดโดยท่องจำมา วิธีพูดนี้ผู้พูดเตรียมเขียนต้นฉบับที่ประสงค์จะนำเสนออย่างละเอียดเกือบทุกตัวอักษร และท่องจำจนขึ้นใจ ซึ่งใช้เวลามากและไม่เป็นธรรมชาติเพราะถึงแม้จะจำอย่างแม่นยำ สำเนียงที่พูดมักจะแสดงให้ผู้ฟังรู้สึกได้ว่าเป็นการท่องจำ การที่จะพูดให้เป็นธรราติมีจังหวะการพูดที่ดี มีชีวิตชีวา ต้องได้รับการฝึกฝนและมีประสบการณ์ในการพูดอย่างมาก
๔. การพูดโดยวิธีอ่านจากร่าง วิธีนี้ผู้พูดจะเตรียมเขียนฉบับร่าง วิธีนี้ผู้พูดจะเตรียมเขียนต้นฉบับที่จะปะสงค์จะนำเสนอย่างละเอียดเกือบตัวอักษรเช่นกัน และพยายามทำความเข้าใจเนื้อ รวมทั้งถ้อยคำที่ใช้ จนเกิดความมั่นใจแต่จะไม่ท่องจำ ในขณะที่เสนอจะพยายามใช้น้ำเสียงการทอดจังหวะ การเน้น และอวัจนภาษาด้วยลีลาที่เป็นธรรมชาติ ส่วนมากมักใช้ในโอกาสสำคัญ เช่น การกล่าวเปิดประชุม การกล่าวปราศรัย การกล่าวรายงาน
เมื่อแบ่งตามความมุ่งหมาย การพูดต่อประชุมชนจะจำแนกเป็น ๔ ประเภท คือ
๑. การพูดเพื่อให้ความรู้หรือข้อเท็จจริง ผู้พูดมีจุดมุ่งหมายให้ผู้ฟังเข้าใจเรื่องราวต่างๆที่เป็นประโยชน์สำคัญ การพูดประเภทนี้ผู้พูดอาจใช้วิธีบรรยาย พรรณนา เล่าเรื่อง เล่าเหตุการณ์ อธิบาย ชี้แจง เสนอรายงาน เป็นต้น
๒. การพูดเพื่อโน้มน้าวใจ ผู้พูดชักจูงให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือศรัทธา มีความคิดเห็นคล้อยตาม หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้พูดมุ่งหมายไว้ เช่น การโฆษณาสินค้า การพูดหาเสียงหรือหาคะแนนนิยม การพูดชักจูงเพื่อให้ร่วมทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่างๆ เช่น การบริจาคโลหิต การทำความสะอาดโรงเรียน วัด หรือชุมชน เป็นต้น
๓. การพูดเพื่อจรรโลงใจ ผู้พูดมุ่งให้เกิดความนึกคิดละเอียด ประณีต หรือพูดเพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น รวมถึงการพูดเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน คลายจากความตึงเครียดทั้งปวง ทำให้จิตใจเบิกบานแจ่มใส เช่น การกล่าว สดุดี การเล่าประสบการณ์ การเล่านิทาน การกล่าวปราศรัย เป็นต้น
๔. การพูดเพื่อค้นหาคำตอบ ผู้พูดมุ่งหมายให้ผู้ฟังช่วยขบคิดหาทางแก้ไขปัญหาตามที่ผู้พูดชี้ให้เห็น เช่น ก่อนการสัมมนา มีบุคคลผู้หนึ่งกล่าวชี้ให้ผู้ร่วมสัมมนามองเห็นปัญหาแล้วจะช่วยกันขบคิดต่อไป การตั้งกระทู้ถามเพื่อให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบตอบก็ถือว่าเป็นการพูดเพื่อค้นหาคำตอบเช่นกัน
เมื่อแบ่งตามเนื้อหาที่พูด การพูดต่อประชุมชนอาจจำแนกเป็น ๓ ประเภทกว้างๆ คือ
๑. การพูดเกี่ยวกับนโยบาย เป็นเรื่องเกี่ยวกับหลักการ วิธีการที่จะทำต่อไปในอนาคตตามที่ผู้เสนอเห็นสมควร เพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ เช่น การนำเสนอโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร โครงการค่ายวิทยาศาสตร์ระหว่างปิดภาคฤดูร้อนในปลายปีการศึกษา
๒. การพูดเกี่ยวกับข้อเท็จจริง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะพิสูจน์ให้เห็นข้อเท็จจริงเปานอย่างไร ผู้พูดอาจจะชี้ให้เห็นความจริงที่ควรเชื่อหรือควรแก่การยอมรับ เช่น สภาพอันรื่นรมย์ของสองฝั่งคลองในอดีต สภาพแม่น้ำลำคลองก่อนการขยายของตัวเมือง
๓. การพูดเกี่ยวกับคุณค่าและคุณงามความดี อาจเป็นเรื่องบุคคล กลุ่มบุคคลวัตถุ หรือการกระทำต่างๆ ที่ยังมีคุณค่าและคุณงามความดีอยู่ในช่วงเวลานั้น หรือน่าจะยังคงอยู่ต่อไมในอนาคต เช่น วีรกรรมของบุคคลในอดีต การกระทำของบุคคลที่น่ายกย่องควรค่าแก่การได้รับรางวัล โบราณวัตถุและโบราณสถาน เป็นต้น
เมื่อแบ่งตามโอกาส การพูดต่อประชุมชนจำแนกเป็น ๓ ประเภท คือ
๑. การพูดอย่างเป็นทางการ มักเป็นคำพูดในพิธีต่างๆ ซึ่งมีการวางแผนหรือแนวปฏิบัติไว้แน่นอน เช่น การกล่าวเปิดประชุมวิชาการ การปราศรัยของนายกรัฐมนตรีในโอกาสต่างๆ และการให้โอวาทของผู้บริหารศึกษาเนื่องในวันไหว้ครู
๒. การพูดกึ่งทางการ มักเป็นคำพูดที่ลดการเป็นแบบแผนลง เช่น การพูดอบรมนักเรียนประจำสัปดาห์ การบรรยายสรุปให้แก่ผู้มาเยี่ยมสถานที่ และการกล่าวขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือกิจการของชุชุมชน
๓. การพูดอย่างไม่เป็นทางการ เป็นการพูดในบรรยากาศที่เป็นกันเอง เช่น การพูดสังสรรค์วันคืนสู่เหย้าของศิษย์เก่า การพูดเพื่อนันทนาการในระหว่างการเข้าค่ายพักแรมของลูกเสือเนตรนารี และการเล่าเรื่องตลกขบขันให้ที่ประชุมฟัง
เมื่อแบ่งตามรูปแบบ การพูดต่อประชุมชนอาจจำแนกออกเป็นที่สำคัญได้ดังนี้
๑. การบรรยาย เป็นการพูดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น อาจเป็นการบรรยายเดียว หรือบรรยายหมู่ก็ได้ ผู้บรรยายเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านและได้ศึกษาค้นคว้ามาเป็นอย่างดี
๒. การอภิปราย เป็นการพูดของคระบุคคลจำนวนประมาณ ๓ – ๕ พูดแสดงความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อหน้าผู้ฟังเป็นจำนวนมาก
๓. การโต้วาที เป็นการพูดแย้งหน้าที่ประชุม โดยมีการแบ่งผู้พูดเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายเสนอญัตติ อีกฝ่ายหนึ่งค้านญัตติ มีผู้ตัดสินชี้ขาดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชนะ
การเตรียมตัวพูดต่อประชุมชน
๑. กำหนดจุดมุ่งหมาย ผู้พุดควรกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนทั้งจุดมุ่งหมายทั่วไป และจุดมุ่งหมายเฉพาะเรื่อง ตัวอย่าง เมื่อผู้พูดได้รับเชิญให้ไปเล่าประสบการณ์ในการอยู่ค่ายพักแรม จุดมุ่งหมายทั่วไปเพื่อให้ความรู้ จุดมุ่งหมายเฉพาะก็คือให้ทราบเรื่องราวและกิจกรรมที่จะต้องทำเมื่ออยู่ค่ายพักแรม
๒ . การวิเคราะห์ผู้ฟัง การวิเคราะห์ในที่นี้หมายถึงแยกแยะพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อจะทราบข้อเท็จจริงในการนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ตามปกติผู้พูดควรพิจารณาหรือวิเคราะห์ผู้ฟังในด้านจำนวน เพศ วัย สถานภาพทางสังคม อาชี พื้นฐานความรู้ ความสนใจ ความมุ่งหวัง ตลอดจนเจตคติที่ผู้ฟังมีต่อเรื่องที่จะพูดหรือตัวผู้พูด
๓. การกำหนดขอบเขตของเรื่อง การกำหนดขอบเขตย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อหาและเวลาที่จะพูด มักประกอบด้วยส่วนสำคัญ ๓ ส่วน คือ การกล่าวนำ เนื้อเรื่อง และการสรุป
๔. การรวบรวมเนื้อหา ผู้พูดจะต้องเตรียมเนื้อหาให้พร้อม เพื่อให้ผู้ฟังจะได้รับประโยชน์มากที่สุด การรวบรวมเนื้อหานั้นอาจทำได้ด้วยการสัมภาษณ์ สอบถาม ค้นคว้าจากการอ่าน และการใช้จินตนาการของตน นอกจากนี้ผู้พูดควรใช้โสตทัศนูปกรณ์ต่างๆประกอบการพูดด้วย
๕. การทำเค้าโครงลำดับเรื่อง จัดประเด็นสำคัญให้ชัดเจน เป็นหัวข้อใหญ่และย่อยทั้งนี้เพื่อเป็นการไม่ลืมหรือข้ามประเด็นสำคัญไป
๖. การเตรียมวิธีการใช้ภาษา เลือกใช้ภาษาที่กะทัดรัด เข้าใจง่าย ตรงประเด็น และมีความหมายชัดเจน ละเว้นคำที่หยาบโลน ตลกคะนอง
๗. การซักซ้อม ควรหาเวลาซ้อมการพูดของตนเองเสียก่อน เมื่อถึงเวลาพูดจริงจะได้เกิดความมั่นใจ ในการซ้อมนั้นไม่ควรเพ็งเล็งเฉพาะวัจนภาษา ควรคำนึงถึงอวัจนภาษาซึ่งจะครอบคลุมบุคลิก ท่ายืน ท่านั่ง กิริยาอาการ การใช้เสียงและการแสดงออกทางใบหน้า ถ้าขณะซ้อมมีผู้ฟังด้วยยิ่งดี เพราะจะได้ใช้ฝึกการใช้สายตา ผู้ฟังอาจจะได้ช่วยการติการพูด ถ้ามีแถบบันทึกเสียงและภาพอาจใช้เป็นอุปกรณ์ในการช่วยฝึกซ้อมได้อย่างดี
๑. กำหนดจุดมุ่งหมาย ผู้พุดควรกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนทั้งจุดมุ่งหมายทั่วไป และจุดมุ่งหมายเฉพาะเรื่อง ตัวอย่าง เมื่อผู้พูดได้รับเชิญให้ไปเล่าประสบการณ์ในการอยู่ค่ายพักแรม จุดมุ่งหมายทั่วไปเพื่อให้ความรู้ จุดมุ่งหมายเฉพาะก็คือให้ทราบเรื่องราวและกิจกรรมที่จะต้องทำเมื่ออยู่ค่ายพักแรม
๒ . การวิเคราะห์ผู้ฟัง การวิเคราะห์ในที่นี้หมายถึงแยกแยะพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อจะทราบข้อเท็จจริงในการนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ตามปกติผู้พูดควรพิจารณาหรือวิเคราะห์ผู้ฟังในด้านจำนวน เพศ วัย สถานภาพทางสังคม อาชี พื้นฐานความรู้ ความสนใจ ความมุ่งหวัง ตลอดจนเจตคติที่ผู้ฟังมีต่อเรื่องที่จะพูดหรือตัวผู้พูด
๓. การกำหนดขอบเขตของเรื่อง การกำหนดขอบเขตย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อหาและเวลาที่จะพูด มักประกอบด้วยส่วนสำคัญ ๓ ส่วน คือ การกล่าวนำ เนื้อเรื่อง และการสรุป
๔. การรวบรวมเนื้อหา ผู้พูดจะต้องเตรียมเนื้อหาให้พร้อม เพื่อให้ผู้ฟังจะได้รับประโยชน์มากที่สุด การรวบรวมเนื้อหานั้นอาจทำได้ด้วยการสัมภาษณ์ สอบถาม ค้นคว้าจากการอ่าน และการใช้จินตนาการของตน นอกจากนี้ผู้พูดควรใช้โสตทัศนูปกรณ์ต่างๆประกอบการพูดด้วย
๕. การทำเค้าโครงลำดับเรื่อง จัดประเด็นสำคัญให้ชัดเจน เป็นหัวข้อใหญ่และย่อยทั้งนี้เพื่อเป็นการไม่ลืมหรือข้ามประเด็นสำคัญไป
๖. การเตรียมวิธีการใช้ภาษา เลือกใช้ภาษาที่กะทัดรัด เข้าใจง่าย ตรงประเด็น และมีความหมายชัดเจน ละเว้นคำที่หยาบโลน ตลกคะนอง
๗. การซักซ้อม ควรหาเวลาซ้อมการพูดของตนเองเสียก่อน เมื่อถึงเวลาพูดจริงจะได้เกิดความมั่นใจ ในการซ้อมนั้นไม่ควรเพ็งเล็งเฉพาะวัจนภาษา ควรคำนึงถึงอวัจนภาษาซึ่งจะครอบคลุมบุคลิก ท่ายืน ท่านั่ง กิริยาอาการ การใช้เสียงและการแสดงออกทางใบหน้า ถ้าขณะซ้อมมีผู้ฟังด้วยยิ่งดี เพราะจะได้ใช้ฝึกการใช้สายตา ผู้ฟังอาจจะได้ช่วยการติการพูด ถ้ามีแถบบันทึกเสียงและภาพอาจใช้เป็นอุปกรณ์ในการช่วยฝึกซ้อมได้อย่างดี
ผลสัมฤทธิ์ทางการพูด
สัมฤทธิ์ผลของการพูด หมายถึง
การพูดที่ประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งจุดประสงค์ไว้
การพูดต่อประชุมชนจะสัมฤทธิผลได้เมื่อผู้พูดมีคุณสมบัติ ดังนี้ (อนงค์
รุ่งแจ้ง. ๒๕๕๓ : ๑๑๗)
๑. ผู้พูดต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรม พูดจากความรู้ ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่มีอยู่ด้วยความเที่ยงธรรม ๒. ผู้พูดต้องรู้ดีและรู้จริงในเรื่องที่พูด
๓. ผู้พูดจำเป็นต้องใช้เหตุผลต่างๆมาสนับสนุนการพูดของตนให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
๔. ผู้พูดควรรู้จักธรรมชาติวิสัยของมนุษย์ โดยคำนึงถึงวัย พื้นฐานความรู้ เป็นต้น
๕. ผู้พูดควรรู้จักรวบรวมความคิดให้เป็นระบบคือ กล่าวอารัมภบท ดำเนินเรื่อง และสรุปให้พอเหมาะ
๖. ผู้พูดต้องรู้จักใช้ภาษาให้มีประสิทธิผลทั้งในด้านวัจนภาษาและอวัจนภาษา
การวิเคราะห์และประเมินค่าพฤติกรรมการพูดต่อประชุมชน
๑. ผู้พูด ควรพิจารณา เรื่อง จุดมุ่งหมายในการพูด การเตรียมตัว วิธีการนำเสนอ คุณธรรม การใช้ภาษา
๒. สาร อาจวิเคราะห์จาก เนื้อหาสาร ปริมาณสาร การจัดลำดับสาร
๓. ผู้ฟัง สิ่งที่ควรวิเคราะห์ คือ ผู้ฟังมีความสนใจและตอบสนองหรือไม่ โดยสังเกตจากการใช้อวัจนภาษาและการซักถามเมื่อพูดจบ สำหรับการประเมินค่าให้พิจารณาประเมินไปตามหัวข้อที่ได้วิเคราะห์ไปแล้ว
๑. ผู้พูดต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรม พูดจากความรู้ ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่มีอยู่ด้วยความเที่ยงธรรม ๒. ผู้พูดต้องรู้ดีและรู้จริงในเรื่องที่พูด
๓. ผู้พูดจำเป็นต้องใช้เหตุผลต่างๆมาสนับสนุนการพูดของตนให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
๔. ผู้พูดควรรู้จักธรรมชาติวิสัยของมนุษย์ โดยคำนึงถึงวัย พื้นฐานความรู้ เป็นต้น
๕. ผู้พูดควรรู้จักรวบรวมความคิดให้เป็นระบบคือ กล่าวอารัมภบท ดำเนินเรื่อง และสรุปให้พอเหมาะ
๖. ผู้พูดต้องรู้จักใช้ภาษาให้มีประสิทธิผลทั้งในด้านวัจนภาษาและอวัจนภาษา
การวิเคราะห์และประเมินค่าพฤติกรรมการพูดต่อประชุมชน
๑. ผู้พูด ควรพิจารณา เรื่อง จุดมุ่งหมายในการพูด การเตรียมตัว วิธีการนำเสนอ คุณธรรม การใช้ภาษา
๒. สาร อาจวิเคราะห์จาก เนื้อหาสาร ปริมาณสาร การจัดลำดับสาร
๓. ผู้ฟัง สิ่งที่ควรวิเคราะห์ คือ ผู้ฟังมีความสนใจและตอบสนองหรือไม่ โดยสังเกตจากการใช้อวัจนภาษาและการซักถามเมื่อพูดจบ สำหรับการประเมินค่าให้พิจารณาประเมินไปตามหัวข้อที่ได้วิเคราะห์ไปแล้ว
ขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจในการให้บริการออนไลน์สำหรับการช่วยเหลือเงินกู้ 200,000 ยูโรเพื่อเริ่มต้นครอบครัวของฉันภายใน 24 ชั่วโมงหากคุณสนใจที่จะกู้เงินด่วนในอัตราต่ำติดต่อ Trustloan Online Services ที่: {trustloan88 @ g m a l l. c o m}
ตอบลบดีมากกกก
ตอบลบ